ดิน คือ หัวใจของการทำเกษตร

  • 15/11/2021
  • จำนวนผู้ชม 687 คน

ถ้าพืชเกิดความเสียหายจากโรคหรือแมลง เรามองเห็นความเสียหายนั้น และสามารถป้องกันกำจัดได้ แต่พืชจะเจริญเติบโตได้ต้องได้อาหารจากดินด้วย แล้วเรามองเห็นไหมว่าพืชได้อาหารจากดินยังไง? และเกษตรกรจะรู้ได้ยังไงว่าต้องใส่ปุ๋ยอะไร? เรามาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันจ้า

หลายครั้งเมื่อได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับเกษตรกร มักจะพบว่า ถ้าพืชเกิดความเสียหายจากโรคหรือแมลง เรามองเห็นความเสียหายนั้น และสามารถป้องกันกำจัดได้ แต่พืชจะเจริญเติบโตได้ ต้องได้อาหารจากดินด้วย แล้วเรามองเห็นไหมว่าพืชได้อาหารจากดินยังไง? (เปรียบเทียบเหมือนคนกินข้าว) และเกษตรกรจะรู้ได้ยังไงว่าต้องใส่ปุ๋ยอะไร?

 

การที่จะรู้ว่า...ดิน...ของเราเป็นยังไง จำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบันมีเครื่องมือที่ใช้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องไปถึงห้องปฏิบัติการ (ห้องแลป) เพียงแต่ต้องอาศัยการเรียนรู้และฝึกใช้เครื่องมือที่ว่าให้เป็น เกษตรกรบางพื้นที่ก็สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ดินได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่ควรให้ความสนใจ คือ ค่า pH (พีเอช) ของดิน เวลาที่อธิบายให้เกษตรกรฟัง จะอธิบายง่ายๆ ว่า...ธาตุอาหารบางตัวจะไม่ถูกปลดปล่อยออกมา หากค่า pH เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป แต่เมื่อปรับดินให้เหมาะสมแล้ว ธาตุอาหารก็จะถูกปลดปล่อยและพืชดูดซึมไปใช้ได้ เพื่อให้จำได้ง่ายๆ ค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพืชผักจะอยู่ที่ประมาณ 5.6-6.5 ถ้าเป็นไปได้จึงอยากให้เกษตรกรวิเคราะห์ดินทุกปี เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของดิน เพราะเคยมีบางแปลงที่ใส่โดโลไมท์ไปเรื่อยๆ จน pH เหมาะสมแล้ว ก็ต้องหยุดใส่โดโดไมท์

มาตรฐานเกษตรอินทรีย์บางมาตรฐานไม่อนุญาตให้ใช้ปูนขาว แต่ให้ใช้โดโลไมท์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะโดโลไมท์จะให้ธาตุอาหารรอง เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ด้วย การปรับปรุงบำรุงดินในระบบเกษตรอินทรีย์ เป็นการบริหารจัดการความรู้อย่างหนึ่ง เริ่มจากรู้จักดินของแปลงปลูกก่อน โดยการวิเคราะห์ดิน (เกษตรกรสามารถขอความช่วยเหลือจาก "กรมพัฒนาที่ดิน" ในพื้นที่ได้) เมื่อรู้แล้วว่าดินเราเป็นอย่างไร ค่อยวางแผนการจัดการให้เหมาะสมกับพืชที่ปลูก

 

โดยทั่วไปจะเริ่มจากการปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ตามผลการวิเคราะห์ดิน ส่วนใหญ่ดินบนดอยมักเป็นกรด จึงต้องปรับค่า pH ด้วยโดโลไมท์ ส่วนจะใส่มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับผลการตรวจวิเคราะห์ ในการปลูกพืชอินทรีย์ไม่สามารถใช้ปุ๋ยเคมีได้ ดังนั้นปุ๋ยหมักจึงจำเป็นมาก แนะนำว่าให้รวมกลุ่มกันทำปุ๋ยหมัก เพราะจะสามารถทำปริมาณได้เยอะๆ พอหมักเสร็จแล้วก็แบ่งกันไปใช้ ในบางพื้นที่เกษตรกรบางกลุ่มสามารถรวมกันทำปุ๋ยหมักจนเหลือขายได้เงินเพิ่มด้วย ในกรณีที่พืชแสดงอาการขาดธาตุอาหาร ยกตัวอย่าง ในฟักทองญี่ปุ่น มักเกิดอาการเนื้อเป็นไตแข็ง เนื่องจากขาดโบรอนก็สามารถเติมโบรอนโดยดูจากในมาตรฐานว่าอนุญาตให้ใช้โบรอนแบบไหน หลายคนเข้าใจว่าการทำเกษตรอินทรีย์ใส่ปุ๋ยเคมีรวมทั้งปัจจัยการผลิตอื่นๆ ไม่ได้เลย ซึ่งในความเป็นจริงแต่ละมาตรฐานจะระบุว่า ปัจจัยการผลิตอะไรอนุญาตให้ใช้หรือไม่อนุญาตให้ใช้! 

 

สิ่งที่สำคัญและจำเป็นอีกอย่างคือ การปลูกพืชปุ๋ยสด หมายถึงพืชที่ปลูกแล้วไถกลบเป็นปุ๋ย (มักไถกลบช่วงที่ออกดอก) ส่วนใหญ่เป็นพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วพุ่มดำ ปอเทือง โสน เป็นต้น มีงานวิจัยหลายฉบับที่ยืนยันว่า ปอเทือง เป็นพืชที่ให้ Biomass มากที่สุด (เข้าใจง่ายๆ ว่าพืชให้ปุ๋ยได้มาก) แต่ถ้าหาปอเทืองไม่ได้ก็สามารถปลูกพืชตระกูลถั่วอื่นๆ ได้ โดยควรปลูกพืชปุ๋ยสดสลับกับพืชผักที่เราปลูกอย่างน้อย 1-2 ครั้ง/ปี

 

แหล่งข้อมูล : https://www.hrdi.or.th/articles/Detail/117

มูลนิธิโครงการหลวง
สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เครือเจริญโภคภัณฑ์
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารแห่งประเทศไทย
gistda
ธนาคารกรุงไทย