เรื่องเล่าพรรณพฤกษาอาเซียน ตอนที่ ๗
|
||||||||
มะลิ กล้วยไม้ราตรี Rafflesia และ Titan Arum ดอกไม้ประจำชาติของอินโดนีเซีย Sambac, Moon Orchid, Rafflesia and Titan Arum, the National Flowers of Indonesia
บทความ 2 ตอนสุดท้ายสำหรับเรื่องเล่าพรรณพฤกษาอาเซียน ตอนที่ 7 เราจะได้รุู้จักกับพันธุ์ไม้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความแปลก และที่สำคัญที่สุด พืชทั้ง 2 ชนิดนี้ยังเป็นพันธุ์ไม้หายากในลำดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ มาตามติดพันธุ์ไม้ประจำชาติของอินโดนีเซียกันต่อได้ขอรับ
Padma Raksasa Rafflesia หรือ Rafflesia เป็นดอกไม้เฉพาะถิ่นของประเทศอินโดนีเซียที่ได้รับการยอมรับให้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำชาติในหมวดหมู่มวลพืชหายากและใกล้สูญพันธุ์ของประเทศอินโดนีเซีย (Indonesian : Puspa langka) และในโอกาสต่อมาได้เพิ่มดอก Bunga Bangkai หรือ Titan Arum ให้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำชาติในหมวดดังกล่าวร่วมกับ Rafflesia จากการสืบค้นข้อมูลสถานะของการอนุรักษ์พืชทั้ง 2 ชนิด สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) และบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์หรือบัญชีแดง (IUCN Red List of Threatened Species หรือ IUCN Red List หรือ Red Data List) พบว่าพืชทั้ง 2 ชนิดดังกล่าว อยู่ในสถานะที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ‘Threatened species’ โดยที่ Rafflesia : Rafflesia arnoldii R.Br. มีระดับความเสี่ยงมากกว่า คืออยู่ในระดับความเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ (Critically endangered species : CR) ซึ่งหมายถึงระดับความเสี่ยงขั้นอันตรายต่อการสูญพันธุ์จากถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ Titan Arum : Amorphophallus titanum (Becc.) Becc. อยู่ในระดับความเสี่ยงที่เกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (Vulnerable species : VU) ซึ่งหมายถึงระดับความเสี่ยงขั้นอันตรายต่อความเป็นอันตรายจากการสูญพันธุ์จากที่อาศัยตามธรรมชาติ (IUCN 2.3, 1994)
Padma Raksasa Rafflesia หรือ Rafflesia มีชื่อเรียกในภาษาพื้นเมือง อาทิ Giant Padma, Rare Padma, Kerubut (Devil's Betelnut Box) และ Corpse flower, Meat Flower (English) เป็นพืชเฉพาะถิ่นและอาศัยอยู่ในป่าฝนเขตร้อนที่มีสภาพชื้นแฉะ (ป่าดงดิบชื้นในป่าดิบเมืองร้อน) บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ทางตอนใต้อย่างเช่น Bengkulu, Jambi และ South Sumatra และอาจเป็นไปได้ว่าพืชชนิดนี้อาจจะเป็นพืชเฉพาะถิ่นบนเกาะบอร์เนียวด้วยเช่นกัน Rafflesia สามารถพบได้ในพื้นที่ป่าที่มีระดับความสูงได้ถึง 1,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ‘Rafflesia arnoldii R.Br.’ เป็นพืชดอกที่จัดจำแนกอยู่ในสกุล Rafflesia ลักษณะวิสัยเป็นพืชเบียนหรือกาฝาก อยู่ในวงศ์ RAFFLESIACEAE พืชสกุลนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในชวา โดย Louis Auguste Deschamps (ค.ศ. 1765-1842) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในระหว่างปี ค.ศ. 1791-1794 เขาได้เก็บตัวอย่างพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งทราบในปัจจุบัน คือ R. patma Blume แต่เอกสารทุกอย่างที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพืชชนิดนั้น ภาพวาด และตัวอย่างพรรณไม้ ถูกยึดโดยชาวอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1803 จึงไม่มีหลักฐานใด ๆ เพื่อใช้สำหรับตรวจสอบและอ้างอิงในทางวิทยาศาสตร์ของตะวันตกได้ (จนกระทั้งปี ค.ศ. 1954 ได้พบเอกสารทั้งหมดอีกครั้ง ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ) และต่อมาในปี ค.ศ. 1818 Sir Thomas Stamford Raffles (ค.ศ. 1781-1826) รัฐบุรุษแห่งอังกฤษ ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าวท่านเป็นผู้แทนของประเทศอังกฤษเพื่อดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ British Bencoolen ในระหว่างปี ค.ศ. 1817 – ค.ศ. 1822 (ปัจจุบันคือจังหวัด Bengkulu ของประเทศอินโดนีเซีย) และเป็นหัวหน้าคณะสำรวจพรรณไม้ โดยในครั้งนั้นมีผู้นำทางชาวอินโดนีเซียพร้อมด้วย Joseph Arnold (ค.ศ. 1782-1818) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ค้นพบพืชชนิดหนึ่ง ในพื้นที่ป่าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแม่น้ำ Manna บริเวณป่าดิบชื้นหรือป่าฝนเขตร้อนของ Bencoolen บนเกาะสุมาตรในประเทศอินโดนีเซีย โดยให้ชื่อสกุลพืชชนิดนี้ว่า ‘Rafflesia’ ตามชื่อของรัฐบุรุษแห่งอังกฤษหัวหน้าคณะสำรวจในคราวนั้น และในเวลาต่อมา Robert Brown (ค.ศ. 1773-1858) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสกอตได้ให้ชื่อระบุชนิดพืชชนิดนี้ว่า ‘arnoldii’ เพื่อเป็นเกียรติแก่ Joseph Arnold คณะผู้ร่วมสำรวจในครั้งนั้น พร้อมทั้งได้ตีพิมพ์และนำออกมาเผยแพร่ชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชชนิดนี้ว่า Rafflesia arnoldii R.Br. ในปี ค.ศ. 1821
Rafflesia นับได้ว่าเป็นพืชเฉพาะถิ่นที่มีความโดดเด่นมากที่สุดชนิดหนึ่ง และนอกจากนี้ยังเป็นพืชดอกประเภทดอกเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในโลกอีกด้วย เป็นพืชที่ไม่มีลำต้น ไม่มีใบ และไม่มีรากที่แท้จริง แต่จะสามารถสังเกตเห็นได้ก็ต่อเมื่อตาดอกเริ่มงอกโผล่ผ่านเปลือกของพืชที่ถูกอาศัย (host) ออกมา เพื่อใช้ระยะเวลาสำหรับการพัฒนาไปสู่ดอกไม้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 9 เดือน สำหรับการผลิบานของดอกเพียงแค่ไม่ถึง สัปดาห์ ซึ่งแตกต่างกับดอกไม้ชนิดอื่น ๆ และนอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นเฉพาะตัวในฐานะที่เป็นพืชปรสิตแท้ของต้นไม้ (holoparasites) เพราะพืชชนิดนี้ไม่มีคลอโรฟิลล์ จึงไม่มีการสังเคราะห์ด้วยแสงและไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ โดยส่วนใหญ่มักเป็นพืชกาฝากของพืชที่ถูกอาศัยอย่างเครือเขาน้ำ (Tetrastigma leucostaphylum (Dennst.) Alston) ซึ่งเป็นไม้เถาเลื้อยที่มีเนื้อไม้ (woody climber) ในวงศ์ VITACEAE โดย Rafflesia จะกระจายโครงสร้าง (haustorium) ที่มีลักษณะคล้ายรากเข้าไปในเนื้อเยื่อของไม้เถาที่เป็นพืชที่ถูกอาศัย เพื่อใช้สำหรับการดูดซึมน้ำ แร่ธาตุ สารอาหารต่าง ๆ ทั้งสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ เพื่อใช้สำหรับการดำรงชีวิตให้สามารถอยู่รอดได้ พืชชนิดนี้จะใช้ชีวิตเริ่มต้นในลักษณะเป็นเส้นใยบาง ๆ อยู่ตามรากและลำต้นของต้นไม้ที่ให้อาศัย จนกระทั่งมีอายุ 5 ปี มันจึงจะออกดอก โดยตอนแรก ดอกจะปรากฏเป็นปุ่มเล็กๆ ที่ผิว (สุทัศน์, 2553) ซึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของพืชกาฝากเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นได้จากภายนอกของไม้เถาที่เป็นพืชที่ถูกอาศัยโครงสร้างของดอกไม้มีขนาดใหญ่ กลีบดอกจำนวน 5 กลีบ เนื้อกลีบดอกมีลักษณะที่ฉ่ำน้ำ สีน้ำตาลแดงและมีจุดกระสีขาวกระจายอยู่โดยทั่ว ล้อมรอบส่วนปากที่คล้ายถังรูปทรงกระบอก ส่วนบริเวณที่ฐานภายในดอกจะพบเกสรเพศผู้หรือเกสรเพศเมียนั้นขึ้นอยู่กับว่า ดอกนั้น ๆ เป็นดอกเพศผู้หรือดอกเพศเมีย โดยเมื่อดอกบานเต็มที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของดอกกว้างได้มากกว่า 100 ซม. และมีน้ำหนักมากถึง 10 กิโลกรัม พร้อมทั้งส่งกลิ่นคล้ายกับซากศพที่เน่าเปื่อย ซึ่งจะมีกลิ่นเหม็นแรงมากในวันแรก ๆ ที่ดอกบาน และกลิ่นนั้นก็จะค่อย ๆ จางลง ดังชื่อพื้นเมืองที่แปลได้ความหมายเดียวกับคำว่า ‘corpse flower’ หรือ ‘meat flower’ กลิ่นเหม็นเน่านั้นจะดึงดูดแมลงอย่างเช่น แมลงวัน ด้วงมูลสัตว์ (pollinator) ซึ่งจะเป็นผู้ช่วยสำหรับการผสมเกสร โดยแมลงจะทำหน้าที่นำละอองเรณูจากดอกเพศผู้ไปส่งให้ยังดอกเพศเมีย เนื่องจากพืชชนิดนี้เป็นดอกแยกเพศ เพียงในระยะเวลาอันสั้นไม่เกินสัปดาห์ ส่วนของดอกก็จะเหี่ยวเฉาแห้งตายไป ผลมีลักษณะเนื้อฉ่ำน้ำ มีเมล็ดจำนวนมาก เปลือกเมล็ดแข็ง นั้นก็ยิ่งทำให้มีโอกาสน้อยลง ที่ต้นกล้าเล็ก ๆ ของ Rafflesia จะไปสร้างความเสียหายแก่รากหรือลำต้นหรือกิ่งก้านของพืชที่ถูกอาศัยต้นใหม่ แต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายของเมล็ดพันธุ์เพื่อที่จะให้เกิดดอกอีกครั้งหนึ่ง มีอยู่หลายประเด็นที่ยังคงเป็นข้อสงสัยและยังไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่อย่างไรก็ตาม กระรอกดิน กระแต และสัตว์ป่าชนิดอื่น ๆ ก็ยังคงทำหน้าที่กินผลและกระจายเมล็ดพันธุ์ดังเดิมต่อไป ดอกไม้ชนิดนี้ใช้ระยะเวลาหลายเดือนสำหรับการพัฒนาตาดอกจวบจนกระทั้งถึงเวลาที่ดอกผลิบาน ช่วงระยะเวลาการบานของดอกเพียงไม่กี่วัน ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ของพืชชนิดนี้ให้มีชีวิตอยู่รอด กลิ่นเหม็นของพืชที่เชื้อเชิญให้เหล่าแมลงทั้งหลายเข้ามาช่วยกันผสมเกสร เพื่อที่จะช่วยขยายเวลาให้สามารถดำรงเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่รอดได้สืบต่อไป แม้ว่าโอกาสสำหรับการปฏิสนธิและการพัฒนาจนกลายเป็นผลจะมีเพียงเล็กน้อย แม้ว่าผลสัมฤทธิ์ของการขยายพันธุ์ที่เกิดขึ้นอาจจะมีเพียงประมาณร้อยละ 10 ซึ่งก็นับว่าโชคดีแล้ว สำหรับการรอคอยโอกาสที่ยาวนานเช่นนี้ราว 9-12 เดือน และโดยส่วนมาก Rafflesia จะอาศัยอยู่เฉพาะในป่าดิบชื้นที่ไม่ค่อยถูกรบกวนมากนัก ทำให้ยิ่งยากมากที่จะทำให้มีชีวิตอยู่รอด เจริญเติบโตและขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนได้ต่อไปในสภาวะแวดล้อมที่อยู่ในสถานการณ์อันวิกฤตอย่างเช่นปัจจุบัน Rafflesia เป็นพืชเฉพาะถิ่นและเป็นพืชหายากที่ไม่มีใครที่จะสามารถนำไปปลูกในพื้นที่อื่นใดตามแต่ใจจะปรารถนาได้ ซึ่งแตกต่างกับพรรณไม้ชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใด ๆ ก็ตาม ถึงแม้ว่าภายในพื้นที่ที่ต้องการปลูกพืชชนิดนี้จะถูกเนรมิตด้วยการจำลองสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้เหมือนกับพื้นที่ถิ่นที่อยู่ที่มีลักษณะเฉพาะของพืชชนิดนี้อย่างป่าดงดิบชื้นหรือป่าฝนเขตร้อน ในป่าดิบเมืองร้อนได้ก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีรายงานการเจริญเติบโตของพืชสกุล Rafflesia โดยการเพาะปลูกจำนวนหนึ่ง แต่ก็มักสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผลของการตอนกิ่งจากพืชที่ถูกอาศัย (host) มากกว่าความสำเร็จที่มนุษย์จะเป็นผู้เพาะปลูกให้ Rafflesia เข้าไปเจริญเติบโตในพืชที่ถูกอาศัยได้เอง
ดอกตูมของ Rafflesia ถูกลักลอบเก็บมาขายเพื่อใช้ทำเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้าน โดยมีความเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมการตั้งครรภ์ เป็นยาบำรุงสตรีหลังคลอด ช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ แข็งแรง มีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง ใช้สำหรับเป็นยากระตุ้นความต้องการทางเพศ ซึ่งมีแนวโน้มว่าการใช้ดอกตูมเหล่านี้ดูจะเกี่ยวข้องกับรูปทรง ลักษณะ สี ขนาด และความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องโชคลางของดอกไม้ชนิดนี้มากกว่าการเชื่อมโยงกับสรรพคุณทางพฤกษเคมีอย่างแท้จริง อีกทั้งยังไม่มีผลการรับรองและการยืนยันเกี่ยวกับสรรพคุณของ Rafflesia จากนักเภสัชศาสตร์แต่อย่างใด และชาวบ้านบางส่วนยังเชื่อว่า ถ้านำดอกตูมของดอกไม้ชนิดนี้มาต้มให้ผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกดื่ม จะทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีผลใด ๆ (สุทัศน์, 2553) และยังพบอีกว่าดอกตูมที่ถูกทำให้แห้งของ Rafflesia ยังนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบสำหรับการปรุงอาหารจีนอีกด้วย Rafflesia เป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมักจะใช้เป็นภาพสำหรับสื่อโฆษณาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ตลอดจนใช้สื่อเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของโครงการ Flora Malesiana ซึ่งเป็นโครงการที่มีจุดประสงค์ในการบรรยายรูปแบบของพืชดอกทั้งหมดที่พบในอาณาบริเวณระหว่างประเทศไทยถึงประเทศออสเตรเลีย Rafflesia sp. ชนิดหนึ่งถูกใช้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำรัฐ Sabah ในประเทศมาเลเซีย ส่วนดอกไม้ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีในประเทศไทยเป็นดอกบัวผุดหรือ Rafflesia kerrii Meijer นอกจากนี้รูปภาพดอกในสกุล Rafflesia ยังถูกพิมพ์เป็นดวงตราไปรษณียากรหรือแสตมป์ของประเทศอินโดนีเซีย และในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันพืชชนิดนี้และชนิดอื่น ๆ ในสกุล Rafflesia อยู่ในสถานะถูกคุกคาม เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์หรือใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ได้ถูกทำลายลงไปอย่างมากในหลายพื้นที่ เช่นการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตร ทำเหมืองแร่ และที่อยู่อาศัยของมนุษย์ นอกจากนี้ยังเกิดความเสี่ยงจากการถูกรบกวนโดยนักท่องเที่ยว และการเก็บรวบรวมดอกตูมเพื่อใช้สำหรับทำเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้าน ทำให้ประชากรของ Rafflesia ลดลงเป็นจำนวนมาก โดยอุทยานแห่งชาติ Kerinci Seblat เป็นพื้นที่หลักสำหรับการอนุรักษ์ R. arnoldii R.Br. และพืชชนิดอื่น ๆ ในสกุล Rafflesia ซึ่งตั้งอยู่ในเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย โดยครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ Bengkulu, Jambi, South Sumatra และ West Sumatra และนี้ก็คงเป็นเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้ประเทศอินโดนีเซียเลือกให้ R. arnoldii R.Br. เป็นตัวแทนของพืชหายากหนึ่งในดอกไม้สัญลักษณ์ของชาติ เพื่อช่วยกระตุ้นเตือนจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และพืชในสกุล Rafflesia เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่สำคัญที่ชาวอินโดนีเซียได้ส่งผ่านมาถึงทุก ๆ คน ก่อนที่พืชทั้งหมดเหล่านั้นจะสูญสิ้นไป
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและให้ข้อคิดได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นพรรณไม้ชนิดใด พืชเหล่านั้นก็ล้วนถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ของตนเอง แม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่ง แม้ใคร ๆ หลายคนอาจจะละเลยและไม่ใส่ใจที่จะให้ความสำคัญ ไม่เป็นไร แต่ขออย่าได้เหยียด อย่าได้ดูแคน เพียงแค่การตัดสินใจเฉพาะคุณ การตัดสินใจโดยที่ปราศจากความรู้จริง และไม่มีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงใด ๆ แล้วพบกันใน Ep. 5/5 ครับผม กวีศิลป์ คำวงค์ |