ชื่อไทย : | ว่านเพชรหึง | ||||||||
ชื่อท้องถิ่น : | กล้วยกา(สุราษฎร์ธานี)/ ตับตาน(แพร่)/ มือตับแก(ชุมพร)/ ว่านงูเหลือม(ใต้)/ ว่านหางช้าง(กทม.,เลย)/ เอื้องพร้าว(เชียงใหม่,เหนือ) | ||||||||
ชื่อสามัญ : | Letter plant | ||||||||
ชื่อวิทยาศาสตร์ : | Grammatophyllum speciosum Blume | ||||||||
ชื่อวงศ์ : | ORCHIDACEAE | ||||||||
ลักษณะวิสัย : | กล้วยไม้ | ||||||||
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : |
ลำต้น : ใบ : เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปแถบ กว้าง 3-4 ซม. ยาว 30-60 ซม. เรียงตัวระนาบเดียว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ หลังใบและท้องใบเรียบ ก้านใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ดอก : กลีบเลี้ยงและกลีบดอกพื้นสีเหลืองหม่น มีประสีน้ำตาลแกมม่วงกระจายทั่วกลีบ กลีบปากเล็กกว่ากลีบอื่นๆ แยก 3 แฉก ส่วนกลางกลีบมีสันนูน 3 สัน ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ ช่อดอกตรงหรือเอนเล็กน้อย ยาวได้ถึง 2 เมตร ดอกบานเต็มที่กว้าง 6-8 ซม. ดอกทยอยบานเป็นเวลานาน ผล : เป็นผลแห้ง แตกออกได้ |
||||||||
ระยะติดดอก - ผล : |
|
||||||||
สภาพทางนิเวศวิทยา : | นิเวศวิทยา พบขึ้นตามป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ถิ่นกำเนิด การกระจายพันธุ์ พม่า ลาว เวียดนาม และภูมิภาคมาเลเซีย การใช้งานด้านภูมิทัศน์ | ||||||||
การปลูกและการขยายพันธุ์ : | |||||||||
รายละเอียดการใช้ประโยชน์ : | - ลำต้น ผสมเหล้าเอาส่วนน้ำกิน เอากากพอกแผล แก้อักเสบเนื่องจากงู ตะขาบ แมงป่อง กัดต่อย แต่ถ้าอักเสบจากงูกัดอาจใช้สมุนไพรก่อนแล้วจึงนำส่งโรงพยาบาล [1] | ||||||||
แหล่งอ้างอิง : | [1] คณะกรรมการวิชาการดำเนินงานส่วนสวนสมุนไพรพืชสวนโลก. 2549. สวนสมุนไพรในงาน มหกรรมพืชสวนโลก 2549. Herbal Garden in Royal Flora Expo 2006. บริษัท สามเจริญพาณิชย์(กรุงเทพฯ) จำกัด. กรุงเทพมหานคร. [2] องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. 2551. กล้วยไม้ไทย 2. Thai Native Orchids 2. พิมพ์ครั้งที่ 1. หจก. วนิดาการพิมพ์. เชียงใหม่. [3] อบฉันท์ ไทยทอง. 2552. กล้วยไม้เมืองไทย. พิมพ์ครั้งที่ 16. สำนักพิมพ์บ้านและสวน. กรุงเทพมหานคร. | ||||||||
ประเภทของการใช้ประโยชน์ : | ไม่ได้ระบุประเภทการใช้ประโยชน์ | ||||||||
ที่อยู่ : |
|
||||||||
หมายเหตุ : | กล้วยไม้ขนาดใหญ่ที่สุด ปัจจุบันพบน้อยลงมาก |